Fire Barrier
เราให้บริการติดตั้งและตรวจเช็คความถูกต้อง ตรวจเช็คหน้างาน ระบบป้องกันไฟและควันลาม (Fire Barrier System)
เราให้บริการติดตั้งและตรวจเช็คความถูกต้อง ตรวจเช็คหน้างาน ระบบป้องกันไฟและควันลาม (Fire Barrier System)
บริษัท เอ็มทีเอ เซอร์วิส จำกัด จดทะเบียนนิติบุคคล เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2557 บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้านงานติดตั้ง งานวัสดุป้องกันไฟ และควันลาม งานติดตั้งอาคาร คอนโด ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ต่างๆ ซึ่งการบริการงานติดตั้งจะต้องมีการตรวจเช็คหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นช่องชาร์ป พื้น ผนัง ทั้งทางระบบไฟฟ้าและประปา ด้วยวัสดุป้องกันไฟ และควันลามที่ได้มาตรฐานของผลิตภัณณ์ 3M และบริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจด้านงานขายเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ป้องกันไฟ และควันลาม เช่น ปูนกันไฟ ซิลิโคนกันไฟ โฟมกันไฟ สีป้องกันไฟ ชนวนใยหิน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามและเกิดความปลอดภัยสูงสุด ผ่านระบบทดสอบและการรับรองมาตรฐานสากล
การดูแลปรึกษาแบบผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในมาตรฐานของสินค้าและความคุ้มค่าของราคา
เราให้บริการติดตั้งและตรวจเช็คความถูกต้อง ตรวจเช็คหน้างาน ระบบป้องกันไฟและควันลาม (Fire Barrier System) ในทุกช่องชาร์ปหรือไม่ว่าช่องเปิดทุกชนิด ที่ผ่านพื้นและผนัง รอยต่อโครงสร้าง ในงานระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ และรวมไปถึงระบบดับเพลิง ด้วยวัสดุป้องกันไฟลาม มาตรฐานสินค้า 3M
ทีมงานที่เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาดูแลทั้งด้านงานขายและติดตั้ง ระบบป้องกันไฟและควันลาม (Fire Barrier System) ตามมาตรฐาน 3M เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับหน่วยงานหรืออาคารที่ท่านดูแล
Fire Barrier เป็นระบบหรือวัสดุที่ใช้ในการป้องกันการแพร่กระจายของเปลวไฟในอาคารหรือสถานที่ต่าง ๆ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งมักจะใช้ในการกำหนดพื้นที่หรือการแยกช่องว่างระหว่างโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อป้องกันเปลวไฟและความร้อนจากการแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ
มาตรฐานการติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามอยู่ในความรับผิดชอบของหลายองค์กรและองค์กรมาตรฐานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ มาตรฐานที่สำคัญและถูกยอมรับทั่วไปสำหรับการติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามประกอบด้วย:
1.NFPA 101: Life Safety Code: มาตรฐานสำหรับการออกแบบและติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามในอาคารที่ใช้เพื่อความปลอดภัยของชีวิต
2.IBC (International Building Code): มาตรฐานสากลสำหรับการออกแบบและก่อสร้างอาคารที่มีความปลอดภัยต่อเพลิงไหม้
3.ASTM E84: Standard Test Method for Surface Burning Characteristics of Building Materials: มาตรฐานสำหรับการทดสอบลักษณะการเผาไหม้ของวัสดุก่อสร้าง
4.ASTM E119: Standard Test Methods for Fire Tests of Building Construction and Materials: มาตรฐานสำหรับการทดสอบเพลิงไหม้ของโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างอาคาร
5.ASTM E814 Standard Test Method for Fire Tests of Penetration Firestop Systems: มาตรฐานนี้มีการตรวจสอบความสามารถในการป้องกันการแพร่กระจายของเพลิงไหม้ในช่องที่เจาะผ่านฉนวนและวัสดุป้องกันไฟและควันลาม
6.UL 1479 Standard for Fire Tests of Through-Penetration Firestops: มาตรฐานของสถาบันทดสอบ Underwriters Laboratories (UL) ที่ใช้ในการทดสอบและประเมินระบบป้องกันไฟและควันลามที่ผ่านไปข้างอีกด้านหนึ่งของผนังหรือพื้น
7.UL 1709: Standard for Rapid Rise Fire Tests of Protection Materials for Structural Steel: มาตรฐานสำหรับการทดสอบเพลิงไหม้เร่งรัดของวัสดุป้องกันสำหรับเหล็กโครงสร้าง
8.FM Approval Standard 4990 – Approval Standard for Through-Penetration Firestops: มาตรฐานการอนุมัติที่ใช้ในการตรวจสอบและรับรองระบบป้องกันไฟฟ้าและควันลามที่เจาะผ่านวัสดุ เช่น ผนังหรือพื้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเพลิงไหม้และควันผ่านช่องเปิดหรือช่องเจาะที่เกิดขึ้นภายในโครงการก่อสร้าง
มาตรฐานเหล่านี้มีความสำคัญในการดำเนินงานองค์กรและกำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามเพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยในอาคารหรือสถานที่ที่ต้องการ.
การติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามมีประโยชน์หลายด้านที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยในอาคารและสถานที่ต่างๆ ดังนี้:
ป้องกันการแพร่กระจายของเพลิงไหม้: ระบบป้องกันไฟและควันลามช่วยลดโอกาสให้เพลิงไหม้ไม่สามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ ภายในอาคารหรือสถานที่ นั่นหมายความว่าการติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามจะช่วยควบคุมและจำกัดการเผาไหม้ให้มีขอบเขตและมีผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งสามารถช่วยในการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานและทรัพย์สินในอาคารได้
ประหยัดทรัพยากรและลดค่าใช้จ่าย: การติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ และนำไปสู่การประหยัดทรัพยากรและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือการกู้คืนหลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้
รวมถึงประโยชน์อื่นๆ เช่น การป้องกันการสูญเสียสินทรัพย์ การรักษาชีวิตและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน การปรับปรุงความเชื่อมั่นในการใช้งานอาคาร และสร้างความเชื่อมั่นในผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยในการก่อสร้างและการดูแลรักษาอาคาร
ระบบป้องกันไฟและควันลามสามารถติดตั้งได้ในหลายประเภทของอาคาร โดยรวมแล้วประเภทอาคารที่จำเป็นต้องมีการติดตั้งระบบป้องกันไฟและควันลามได้แก่:
อาคารพาณิชย์: เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ออฟฟิศทาวเวอร์ อาคารสำนักงาน โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่บริการอื่นๆ ที่มีการใช้สำหรับธุรกิจหรือการบริการ
อาคารที่พักอาศัย: เช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ หรืออาคารชุดที่มีห้องพักอาศัยสำหรับผู้อาศัย
อาคารอุตสาหกรรม: เช่น โรงงาน โกดังสินค้า หรืออาคารผลิต
สถานที่ประชุมและการแสดง: เช่น ห้องประชุม อาคารที่ใช้เพื่อจัดงานแสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือโรงละคร
สถานที่ด้านสาธารณสุข: เช่น โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์การแพทย์ และสถานบริการสุขภาพอื่นๆ
สถานที่ท่องเที่ยวและบันเทิง: เช่น โรงแรมรีสอร์ท สนามกอล์ฟ สนามแข่งขันกีฬา สวนสนุก หรือสถานบันเทิงอื่นๆ
สถานที่ศึกษา: เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ
อาคารที่ต้องการระบบป้องกันไฟและควันลามนั้นขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดของอาคาร ระบบป้องกันไฟและควันลามสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละอาคาร และควรปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การติดตั้งเป็นไปตามมาตรฐานและความปลอดภัยที่กำหนดไว้
กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบป้องกันไฟและควันลามมักมีขั้นตอนต่อไปนี้:
การตรวจสอบการติดตั้ง: การตรวจสอบว่าระบบป้องกันไฟและควันลามถูกติดตั้งตามมาตรฐานและคำแนะนำของผู้ผลิตหรือผู้รับเหมา ซึ่งรวมถึงตรวจสอบว่าวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของระบบมีคุณภาพและรับรองความปลอดภัย
การทดสอบและการรับรอง: ระบบป้องกันไฟและควันลามจะต้องผ่านการทดสอบทางพลังงานเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบ ตัวอย่างเช่นการทดสอบการต้านไฟหลักสำหรับวัสดุและผลิตภัณฑ์ เช่น การทดสอบการต้านไฟและควันของวัสดุผนัง
การตรวจสอบประจำเวลา: ระบบป้องกันไฟและควันลามควรได้รับการตรวจสอบประจำเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าระบบยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไฟและควัน ตรวจสอบนี้อาจเป็นการตรวจสอบระหว่างประกอบหรือหลังจากการติดตั้งเพื่อตรวจสอบการทำงานของระบบในสภาวะปกติและสภาวะฉุกเฉิน
การบำรุงรักษา: ระบบป้องกันไฟและควันลามต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ระบบยังคงมีประสิทธิภาพในการทำงาน การบำรุงรักษาอาจเป็นการตรวจสอบและทดสอบระบบเสมือนจริง
กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าระบบป้องกันไฟและควันลามทำงานได้ตามที่กำหนด และมีความปลอดภัยสูงสุดในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับไฟและควันลามในอาคาร
การบำรุงรักษาระบบป้องกันไฟและควันลามมีความสำคัญเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการทำงานและป้องกันความเสียหายจากเพลิงไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือบางขั้นตอนที่สำคัญในการบำรุงรักษาระบบป้องกันไฟและควันลาม:
ตรวจสอบประจำเวลา: ตรวจสอบระบบป้องกันไฟและควันลามอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบสภาพและประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบวัสดุป้องกันไฟและควันลามว่ายังคงมีความเต็มที่และไม่มีความเสียหาย
ทำความสะอาดและเก็บรวบรวม: ทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ ระบบป้องกันไฟและควันลามเพื่อลดความเสียหายจากฝุ่น ฟูก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการรั่วของเพลิงไหม้
ตรวจสอบความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน: ตรวจสอบและทดสอบระบบป้องกันไฟและควันลามในสภาวะฉุกเฉินเพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้อย่างถูกต้องและป้องกันความเสียหายจากเพลิงไหม้ได้
อัพเดทและปรับปรุง: ติดตามคำแนะนำและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบป้องกันไฟและควันลาม และอัพเดทระบบหรืออุปกรณ์ตามความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและการป้องกันไฟและควันลาม
การบำรุงรักษาระบบป้องกันไฟและควันลามเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตลอดเวลา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำและขั้นตอนการบำรุงรักษาที่ระบุโดยผู้ผลิตหรือผู้รับเหมาและออกแบบระบบป้องกันไฟและควันลาม
ฉนวนกันเสียง (Soundproofing insulation) เป็นวัสดุที่ใช้เพื่อลดหรือกันเสียงรบกวนจากภายนอกหรือภายในอาคาร ซึ่งมักถูกใช้ในการกันเสียงจากเสียงดังภายนอกเข้าสู่อาคารหรือเพื่อลดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นในอาคาร ฉนวนกันเสียงทำหน้าที่ดังนี้:
ดับเสียง: ฉนวนกันเสียงมีความสามารถในการดับเสียงโดยรับซับและแปลงพลังเสียงให้เป็นพลังความร้อน ทำให้เสียงสะท้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดเสียงน้อยลง ฉนวนกันเสียงสามารถลดระดับเสียงในอาคารได้เป็นอย่างมาก เช่น เสียงรถเข้าสู่อาคารหรือเสียงเครื่องใช้ในห้องส่วนตัว
ป้องกันการระเบิดเสียง: ในบางกรณี เช่น ในอาคารที่อยู่ใกล้ถนนหรือสนามบิน เกิดเสียงระเบิดเมื่อเครื่องบินขับเคลื่อนแรงจากใต้สู่บน ฉนวนกันเสียงสามารถช่วยลดเสียงระเบิดให้เกิดขึ้นน้อยลงและป้องกันการกระตุกของกระจกและวัตถุอื่นที่อาจเสียหายได้จากการระเบิดเสียง
แยกกันเสียง: ในอาคารที่มีห้องหลายห้อง เช่น โรงแรมหรืออพาร์ทเม้นท์ ฉนวนกันเสียงสามารถช่วยลดเสียงรบกวนจากห้องข้างเคียง ทำให้ผู้อยู่อาศัยหรือเจ้าของสถานที่สามารถมีความเป็นส่วนตัวและความสงบได้
วิธีการทำงานของฉนวนกันเสียงเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของมัน โดยฉนวนกันเสียงที่มีความหนาและความกว้างมากจะช่วยลดเสียงได้มากขึ้น โดยวัสดุของฉนวนกันเสียงมีคุณสมบัติในการดักจับและกระจายพลังเสียง โดยส่วนใหญ่ฉนวนกันเสียงถูกทำจากวัสดุเส้นใยหินหรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ ที่มีโครงสร้างเส้นใยภายในที่ช่วยลดการสะท้อนเสียงและลดการส่งเสียงผ่านมาที่พื้นที่อื่น อีกทั้งฉนวนกันเสียงยังสามารถใช้ร่วมกับโครงสร้างอื่น ๆ เช่น ผนัง, ฝ้า, และพื้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันเสียงได้อีกด้วย
การใช้ฉนวนกันความร้อนในหลังคามีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยลดการสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ ลดการส่งตัวความร้อนจากภายนอกเข้าสู่อาคาร ช่วยให้อาคารรักษาอุณหภูมิในระดับที่สบายสำหรับผู้ใช้งาน และช่วยลดการใช้พลังงานที่ใช้ในระบบปรับอากาศ
ฉนวนกันความร้อนที่เหมาะสมสำหรับใช้ในหลังคาได้แก่ฉนวนกันความร้อนแบบฟอยล์หรือฟิล์มฉนวน ซึ่งมีคุณสมบัติในการกันความร้อนและการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี
วิธีการติดตั้งและการใช้งานของฉนวนกันความร้อนขึ้นอยู่กับชนิดของฉนวนและโครงสร้างของหลังคา ฉนวนกันความร้อนสามารถติดตั้งในช่องว่างของหลังคาหรือเกาะบนพื้นผิวหลังคาได้ และสามารถใช้งานในหลายประเภทของหลังคา เช่น หลังคาเมทัลชีท, หลังคากระเบื้อง, หลังคาโฟม, หลังคาเหล็ก เป็นต้น
ฉนวนกันความร้อนมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อยู่ระหว่าง 20-30 ปี อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาฉนวนกันความร้อนคือการตรวจสอบสภาพของฉนวนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการชำรุดหรือฉนวนหลุดร่วง นอกจากนี้ยังควรป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียในฉนวนโดยเก็บรักษาความสะอาดของหลังคาอย่างสม่ำเสมอ
การใช้ฉนวนกันเสียงมีประโยชน์มากมาย เช่น ลดระดับเสียงดังจากภายนอกที่เข้าสู่อาคาร ลดเสียงรบกวนในระหว่างห้องและช่วยสร้างความเงียบสงบ ช่วยลดการสะท้อนเสียงภายในอาคาร และสร้างสภาพแวดล้อมที่เพียงพอสมควรสำหรับการทำงานและการพักผ่อน
ฉนวนกันเสียงที่เหมาะสมสำหรับบ้านหรืออาคารที่อยู่อาศัยได้แก่ฉนวนกันเสียงใยแร่หรือ Mineral Wool ซึ่งเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติทนไฟ กันเชื้อราและกันเสียงดี นอกจากนี้ยังมีฉนวนกันเสียงอื่นๆ เช่น ฉนวนกันเสียงฟองน้ำหรือ Foam Insulation ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงอย่างดี
ฉนวนกันเสียงสามารถลดเสียงดังจากการสะท้อนหรือการสะท้อนเสียงได้ถึง 80% ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัสดุและการติดตั้งอย่างถูกต้อง
วิธีการติดตั้งและการใช้งานของฉนวนกันเสียงขึ้นอยู่กับวัสดุและลักษณะการใช้งาน ฉนวนกันเสียงสามารถติดตั้งบนผนัง, เพดาน, และพื้นได้ และสามารถใช้ในห้องใช้งานต่างๆ เช่น ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องอาหาร เพื่อลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเงียบสงบในพื้นที่นั้นๆ
ฉนวนกันเสียงสามารถใช้ในห้องต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องลดเสียงเงียบลง เช่น ห้องบันได, ห้องทำงานที่ต้องการความสงบ, ห้องมุมที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว, ห้องคอนโซล, ห้องมีเดีย, ห้องบันเทิง เป็นต้น
ฉนวนกันเสียงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เฟื่องแรก 10-20 ปี อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาฉนวนกันเสียงคือการรักษาความสมบูรณ์ของวัสดุ เช่น รักษาความแข็งแรงของวัสดุ, ล้างความสกปรก, และป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย